top of page

บทความ

รวมเรื่องน้ำแร่

จริงหรือไม่? การดื่มน้ำแร่เป็นประจำ ทำให้เป็นนิ่ว
 

บางคนชอบดื่มน้ำแร่เพราะคิดว่ามีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ก็มีอีกหลายคนที่ไม่กล้าดื่มน้ำแร่ เพราะคิดว่าถ้าดื่มเป็นประจำจะทำให้มีแร่ธาตุไปสะสมในกระเพาะปัสสาวะ อาจจะเป็นนิ่วได้ง่าย ๆ ข้อเท็จจริงเรื่องนี้เป็นอย่างไร วันนี้เรามีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้มาฝากค่ะ

   “ไม่จริง” การดื่มน้ำแร่ไม่ได้ทำให้เป็นนิ่ว น้ำแร่เป็นน้ำที่ได้จากธรรมชาติและมีแร่ธาตุอยู่หลายชนิด เช่น น้ำแร่ไบคาร์บอเนต น้ำแร่ซัลเฟต น้ำแร่ซัลเฟต-ไบคาร์บอเนต น้ำแร่แคลเซียม เป็นต้น แต่ละชนิดก็จะให้ประโยชน์ที่แตกต่างกัน

แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่ดื่มแล้วจะได้ประโยชน์จากน้ำแร่ และควรระวังอาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้ คือ ผู้ที่บวมน้ำ ผู้ป่วยโรคไต ผู้ป่วยความดันโลหิตสูง ผู้ที่มีการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารปริมาณมาก มีแผลในกระเพาะ และความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยที่มีโรคทางระบบทางเดินหายใจที่มีภาวะหลอดลมหดเกร็ง เป็นต้น   ซึ่ง“นิ่ว”เกิดจากการรวมตัวกันของผลึกของเกลือแร่หรือหินปูนจนเป็นก้อนนิ่ว เช่น ดื่มน้ำน้อยกว่าปกติ หรือรับประทานอาหารบางประเภทที่มีเกลือแร่ขับออกมาทางน้ำปัสสาวะมาก เช่น พวกเครื่องในสัตว์ พวกผักสด หน่อไม้ เป็นต้น จึงเป็นสาเหตุให้เกิดนิ่วในทางเดินปัสสาวะได้  และถ้าใครไม่อยากเป็นนิ่วแนะนำให้ดื่มน้ำมากกว่าวันละ 8 แก้ว กินอาหารที่มีประโยชน์ มีสารอาหารครบถ้วนและสัดส่วนที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงอาหารหวานมาก เค็มมาก และอาหารที่มีกรดยูริกสูง

7 วิธีดื่มน้ำให้ผอม ช่วย "ลดน้ำหนัก" แถมผิวสวยเปล่งปลั่ง

1. ดื่มน้ำ 1 แก้ว หลังตื่นนอน

เวลา 06.30-07.00 น. ให้ดื่มน้ำ 1 แก้ว หลังตื่นนอนตอนเช้าทันที ช่วงนี้เลือดในร่างกายจะมีความข้นหนืดสูง หลังจากขาดน้ำมาทั้งคืน การดื่มน้ำในตอนนี้จะช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดี และยังช่วยกระตุ้นการขับถ่าย

2. ช่วงสายๆ ดื่มน้ำ 2-3 แก้ว

เวลา 08.00 น. ดื่มน้ำ 1 แก้ว โดยดื่มน้ำก่อนรับประทานอาหารเช้า 1 ชม. ไม่ควรดื่มก่อนกินข้าวแบบทันที เพราะจะทำให้น้ำย่อยมีความเจือจางลง ทำให้ย่อยอาหารได้ไม่ดีเท่าที่ควร อาจทำให้ท้องอืดท้องเฟ้อ

ถัดมา เวลา 09.00-11.00 น. ดื่มน้ำ 1-2 แก้ว ร่างกายเริ่มทำงานเต็มที่ในช่วงเวลานี้ พอทำงานเต็มที่ก็จะมีของเสียเกิดขึ้น จึงควรดื่มน้ำเพื่อชำระล้างของเสียเหล่านั้นออกไปจากร่างกาย

3. ดื่มน้ำก่อนมื้อเที่ยง

เวลา 12.00 น. เที่ยงวัน ให้ดื่มน้ำ 1/2 แก้ว ก่อนรับประทานอาหาร 1 ชม. หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ จิบน้ำล้างปากได้เล็กน้อย ไม่ควรดื่มน้ำตามมากๆ เพราะจะทำให้น้ำย่อยเจือจาง ย่อยอาหารไม่ดีเท่าที่ควร

4. ช่วงบ่าย ดื่มน้ำ 2-3 แก้ว

เวลา 13.00-16.00 น. ดื่มน้ำ 2 แก้ว ไม่ต้องดื่มน้ำรวดเดียวทั้ง 2 แก้วนะ แต่ให้ใช้การจิบน้ำระหว่างวันไปเรื่อยๆ เพื่อดับกระหาย และเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวพรรณ ยิ่งใครที่นั่งทำงานในห้องแอร์ ผิวจะแห้ง หยาบกระด้างได้ง่าย จึงควรเติมน้ำให้ผิวในช่วงนี้

5. ดื่มน้ำก่อนมื้อเย็น 1-2 แก้ว

เวลา 17.00-19.00 ช่วงเย็นควรแบ่งเวลาไปออกกำลังกาย และก่อนจะทานมื้อเย็น ให้ดื่มน้ำก่อนอาหาร 1 ชม. ในปริมาณ 1-2 แก้ว ถัดมาในช่วงหัวค่ำ เวลา 19.00-21.00 น. ให้ดื่มน้ำอีก 1 แก้ว โดยใช้การจิบน้ำไปเรื่อยๆ เพื่อให้ระบบเลือด ระบบลำไส้ทำงานได้ดี

6. ก่อนนอน ดื่มน้ำ 1 แก้ว

ในแต่ละวัน ควรเข้านอนเวลา 23.00 น. หรือไม่เกินเที่ยงคืน โดยก่อนจะนอน 1 ชม. ให้ดื่มน้ำ 1 แก้ว เพื่อชำระล้างสิ่งที่ตกค้างในลำไส้ แต่ไม่ควรดื่มใกล้เวลานอนเกินไป เพราะจะทำให้ปวดปัสสาวะกลางดึก รบกวนการนอน ทำให้นอนหลับไม่สนิทได้ 

7. ทำไมการดื่มน้ำ ช่วยลดความอ้วน?

ดื่มน้ำเยอะๆ มีส่วนช่วยในการลดความอ้วน เพราะการดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว จะช่วยลดปริมาณไขมันในร่างกายของเราให้ลงได้ และถ้าดื่มก่อนมื้ออาหาร 1 ชม. ก็จะช่วยลดความอยากอาหารลงได้ด้วย อีกทั้งช่วยในการย่อยอาหารให้ระบบย่อยอาหารทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่

แต่ทั้งนี้ก็ไม่ควรดื่มมากเกินไป (ไม่ควรเกิน 10 แก้วต่อวัน) เพราะจะทำให้ไตทำงานหนัก ทำให้เซลล์บวมน้ำ อาการต่อมาคือปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียนได้

70% ของโลกประกอบไปด้วยน้ำ และน้ำเป็นสารอาหารที่ร่างกายต้องการมากที่สุด ระหว่าง 55-70% ของร่างกายคนประกอบไปด้วยน้ำซึ่งมันมีความสำคัญต่อการควบคุมอวัยวะต่างๆในร่างกายรวมถึงอุณหภูมิ, การละลายของแข็งที่ตกค้างในร่างกายและเป็นพาหนะนำสารอาหารต่างๆกระจายเข้าสู่ส่วนต่างๆของร่างกาย จากการวิจัยพบว่าการดื่มน้ำที่เพียงพอสามารถลดการเจ็บปวดเรื้อรังได้เช่น โรคปวดข้อต่างๆ โรคเจ็บหลัง ไมเกรน และโรคลำไส้อักเสบ รวมไปถึงการลดคลอเรสเตอรอลและความดันโลหิต

เพราะธรรมชาติของน้ำไม่มีไขมัน คลอเรสตอรอล คาเฟอีน มีเกลือแร่ต่ำและไม่ได้ผ่านร่างกายของเราไปอย่างสูญเปล่าเหมือนเครื่องดื่มอื่นๆ น้ำบริสุทธิ์จึงเป็นทางเลือกที่ร่างกายต้องการในปริมาณที่เพียงพอในแต่ละวัน

เราควรดื่มน้ำบริสุทธิ์บ่อยแค่ไหน

ความเป็นจริงก็คือร่างกายคนเราต้องสูญเสียน้ำ 1/8 แกลอนในแต่ละวันจากเพียงการหายใจ เราต้องเสียน้ำ 10 แก้วจากการหายใจ เหงื่อ และสารคัดหลั่งต่างๆจากร่างกาย น้ำที่สูญเสียไปต้องได้รับการทดแทนในปริมาณที่เหมาะสม คุณไม่ควรรอจนกระทั่งหิวน้ำแล้วจึงดื่มน้ำเพราะในเวลาที่คุณรู้สึกกระหายน้ำคุณก็จะเสียน้ำไปแล้วถึง2 แก้ว

เราควรดื่มน้ำปริมาณเท่าไหร่จึงจะเพียงพอ

ปริมาณของน้ำที่เพียงพอมีความสำคัญมากในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพของร่างกายเรา คนปรกติจะดื่มน้ำประมาณ6 แก้วต่อวันเท่านั้นซึ่งต่ำกว่ามาตรฐานที่เพียงพอคือ 8 แก้ว ปริมาณน้ำที่คุณดื่มควรจะสัมพันธ์กับขนาดของร่างกาย 

กิจกรรม และอณุภูมิของอากาศด้วย ผู้เชี่ยวชาญที่คลินิก Mayoประเทศสหรัฐอเมริกาได้แนะนำสูตรการคำนวณด้วยการเอาน้ำหนักของเราหาร2และใช้ผลลัพธ์เป็นปริมาตรออนซ์ของน้ำที่เราควรดื่มต่อวัน (8ออนซ์เท่ากับน้ำ1แก้ว) ตัวอย่างเช่นคนที่หนัก 125 ปอนด์หรือเท่ากับ 57 กิโลกรัม(1กิโลกรัมเท่ากับ1.205ปอนด์) ควรจะดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว ส่วนคนที่หนัก175ปอนด์หรือเท่ากับ 80 กิโลกรัมควรดื่มน้ำวันละ11 แก้ว และถ้าคุณเป็นคนที่มีกิจกรรมเยอะในแต่ละวันก็ควรดื่มน้ำเพิ่มขึ้นอีกวันละ1-3แก้ว

เวลาไหนที่เราควรดื่มน้ำเป็นพิเศษ

เพราะสภาพอากาศในเมืองไทยมีความร้อนสูงซึ่งเป็นที่มาของอาการขาดน้ำ เพราะน้ำจะระเหยจากร่างกายมากไม่ว่าจากการหายใจหรือเหงื่อคุณจึงควรดื่มน้ำมากเป็นพิเศษก่อนที่คุณจะต้องเผชิญกับสภาพอากาศภายนอก

คุณควรดื่มน้ำมากเป็นพิเศษในวันที่จะต้องเดินทาง 

บนเครื่องบินคุณควรดื่มน้ำ1แก้วทุกๆชั่วโมงเพราะสภาพอากาศที่มีความชื้นต่ำในตัวเครื่อง 

ก่อนเผชิญสภาพอากาศร้อนนอกอาคารควรดื่มน้ำ1-2แก้ว 

เมื่อคุณไม่สบายคุณควรเลี่ยงอาการขาดน้ำด้วยการดื่มน้ำบริสุทธิ์มากๆ 

คาเฟอีนและแอลกอฮอลจะทำให้ร่างกายขาดน้ำ คุณควรดื่มน้ำ1แก้วต่อการดื่มกาแฟหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล1แก้ว 

คุณแม่ลูกอ่อนควรดื่มน้ำมากเป็นพิเศษเพื่อการผลิตน้ำนมที่เพียงพอ 

บุหรี่จะมีผลทำให้ร่างกายขาดน้ำ ผู้สูบบุหรี่ควรดื่มน้ำในปริมาณมากเป็นพิเศษด้วย

อาการขาดน้ำ

อาการปวดหัวตึบๆในช่วงท้ายของวันเป็นสัญญาณเตือนภัยของอาการขาดน้ำเพราะสมองของคนเราประกอบด้วยน้ำถึง75% การขาดน้ำที่เพียงพอในแต่ละวันจะส่งผลทำให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะ หน้ามืด ปวดหัวและคลื่นไส้ อาการขาดน้ำหนักๆจะมีผลทำให้เกิดอุณุหภูมิสูงผิดปรกติในร่างกาย กล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ย ความทนทานและการประสานงานของร่างกายลดลง และเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดตะคริว การเสียชีวิตเนื่องจากร่างกายไม่สามารถระบายความร้อนออกไปได้ทัน หนึ่งในวิธีดูสัญญาณเตือนของอาการขาดน้ำในร่างกายคือดูสีของ ปัสสวะ สีที่อ่อนถึงใสเป็นการบ่งบอกถึงการมีสมดุลของน้ำที่เพียงพอในร่างกาย

บุหรี่กับอาการขาดน้ำ

สารเคมีในบุหรี่จะมีผลทำให้เส้นเลือดหดตัวชั่วระยะซึ่งเป็นอาการเดียวกันกับอาการขาดน้ำ เมื่ออาการขาดน้ำและการสูบบุหรี่เกิดขึ้นพร้อมกันร่างกายจึงต้องการน้ำในปริมาณมาก การสูบบุหรี่ยังเป็นตัวเร่งปฏิกิริยายาในการเผาผลาญ คาเฟอีนซึ่งผลก็คืออาการขาดน้ำที่มากขึ้น

การออกกำลังกายกับการดื่มน้ำ

เมื่อคุณออกกำลังกายคุณควรดื่มน้ำอย่างต่อเนื่อง อาการกระหายน้ำไม่ได้เป็นเครื่องชี้วัดของร่างกายที่ขาดน้ำที่ดีพอ จากการวิจัยพบว่าในระหว่างที่คุณกำลังออกกำลังกายอย่างหนักร่างกายจะมีอาการขาดน้ำก่อนที่คุณจะรูู้สึกกระหายน้ำ คุณจึงควรดื่มน้ำ้ทุกๆ20นาทีในระหว่างการออกกำลังกายเพื่อเติมน้ำเข้าสู่ระบบสมดุลของร่างกาย ไม่เพียงแค่นั้นคุณควรดื่มน้ำให้มากก่อนและหลังการออกกำลังกายแม้ว่าคุณจะไม่รู้สึกกระหายน้ำก็ตาม

การดื่มน้ำช่วยควบคุมน้ำหนักอย่างไร

คุณสามารถที่จะดำรงชีวิตโดยไม่รับประทานอาหารได้ถึง6อาทิตย์ แต่ถ้าคุณขาดน้ำ้คุณจะไม่สามารถอยู่รอดได้เกิน1อาทิตย์ ฉะนั้นน้ำจึงเป็นสารอาหารที่ร่างกายต้องการมากที่สุด เมื่อร่างกายขาดน้ำจะกระตุ้นให้คุณกินหรือดื่มสารอาหารที่มีน้ำตาลเพื่อเติมพลังงานชั่วระยะหนึ่งแต่ในความเป็นจริงคุณเพียงแค่ต้องการน้ำบริสุทธิ์ ในความเป็นจริงแล้วอาหารหรือน้ำที่มีรสชาติหวานหรือแม้แต่น้ำตาลเทียมจะกระตุ้นความอยากอาหารของคุณเพิ่มขึ้น นี่คือเหตุผลที่แพทย์ลดน้ำหนักที่ต้องการให้ผู้เข้ารับการบำบัดลดอาการอยากกินจะแนะนำให้ดื่มน้ำมากเป็นพิเศษ

คนท้องหรือแม่ลูกอ่อน

สำหรับคนท้องแล้วน้ำ้ดื่มไม่เพียงแต่จะช่วยกระจายสารอาหารเข้าสู่ระบบต่างๆของร่างกายแต่ยังส่งถึงลูกน้อยในครรภ์ด้วย คนท้องนั้นจึงควรเข้มงวดในการดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ8แก้ว เมื่อเด็กในครรภ์เกิดแล้วคุณแม่ลูกอ่อนควรที่จะต้องดื่มน้ำให้เพียงพออย่างต่อเนื่องเพื่อเติมสมดุลของร่างกายจากการให้ น้ำนมและการสูญเสียน้ำจากการเลี้ยงดูลูกน้อย

เด็กทารกและเด็กวัยเรียน

เพราะเด็กทารกไม่สามารถแสดงความกระหายน้ำได้ทุกครั้ง วิธีที่ดีที่สุดในการตรวจระดับน้ำในร่างกายของลูกน้อยว่าเพียงพอหรือไม่คือการตรวจดูผ้าอ้อมซึ่งควรจะต้องเปลี่ยนบ่อย

ครั้งในแต่ละวัน เด็กๆในวัยเรียนซึ่งเป็นวัยกระตือรือร้นจะมีโอกาสขาดน้ำเร็วเป็นพิเศษคุณจึงควรส่งเสริมให้ดื่มน้ำ1แก้วก่อนที่จะออกไปเล่นและควรดื่มน้ำระหว่างการเล่นทุกๆ20-30นาทีโดยเฉพาะในสภาพอากาศร้อน

ผู้สูงอายุ

ยิ่งสูงอายุเท่าไหร่คุณก็จะยิ่งมีความเปราะบางต่ออาการขาดน้ำ ขณะที่เรามีอายุมากขึ้นระบบการทำงานของไตก็จะเสื่อมประสิทธิภาพลง อาการกระหายน้ำจะไม่ไวต่อความรู้สึกและร่างกายจะเก็บสะสมน้ำน้อยลง ผู้สูงอายุมีโอกาสที่จะต้องทานยาที่หมอสั่งให้มากขึ้นซึ่งยาเหล่านั้นมีโอกาสที่จะทำให้ร่างกายขาดน้ำ้เร็วขึ้นไปอีก ด้วยเหตุผลเหล่านี้ผู้สูงอายุตั้งแต่70ปีขึ้นไปควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ8แก้ว (สำหรับผู้สูงอายุที่มีน้ำหนักเฉลี่ย60กิโลกรัม ถ้าน้ำ้หนักมากกว่านี้ให้ดื่มน้ำมากขึ้นเป็นลำดับ)

เล็กๆน้อยๆที่ช่วยให้คุณดื่มน้ำ้ได้มากขึ้น

ใช้แก้วน้ำที่ดูสวยงามชวนให้ดื่ม 

เพิ่มน้ำแข็งและมะนาวแผ่นบางๆลงในน้ำดื่มของคุณ 

พยายามดื่มน้ำทีละน้อยๆแต่บ่อยครั้งแทนที่จะดื่มทีเดียว 

พักทานน้ำแทนที่จะพักทานกาแฟ 

ดื่มน้ำให้เป็นนิสัย การดื่มน้ำในเวลาเดียวกันในแต่ละวันจะช่วยได้

http://www.jobpub.com/articles/showarticle.asp?id=3419

ในปัจจุบันนี้มีความสนใจในเรื่องน้ำแร่ชนิดต่างๆที่มีผลต่อสุขภาพ โดยเฉพาะ “น้ำแร่พลังแม่เหล็ก” แต่เนื่องจากข้อมูลจากการศึกษาเท่าที่รวบรวมได้ยังมีน้อยและไม่ชัดเจน จึงขอกล่าวถึงน้ำแร่ที่ได้จากธรรมชาติ ซึ่งอาจมีหลายยี่ห้อหลายรูปแบบ แต่ก่อนที่คุณจะเลือกซื้อมาบริโภคนั้น อยากให้ได้รับข้อมูลที่น่าจะมีประโยชน์ต่อการเลือกบริโภคน้ำแร่ โดยจะนำเสนอประเภทของน้ำแร่ที่แยกตามผลที่มีต่อร่างกายและฤทธิ์ในการบำบัดโรคเป็นเกณฑ์ในการจัดประเภทน้ำแร่

ชนิดของน้ำแร่

น้ำแร่ไบคาร์บอเนต 
(Bicarbonate water)

มีปริมาณไบคาร์บอเนต> 600 มิลลิกรัมต่อลิตร ช่วยปรับให้สารคัดหลั่งที่มีฤทธิ์เป็นกรดกลายเป็นกลาง, กระตุ้นการเคลื่อนของอาหารจากกระเพาะไปยังลำไส้เล็กให้เร็วขึ้น, กระตุ้นการหลั่งของฮอร์โมนในกระเพาะอาหาร, ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำและเหลือแร่ให้แก่ร่างกาย จึงควรดื่มน้ำแร่นี้ 500-700 มิลลิลิตร ก่อนออกกำลังกายหรือทำงานที่ต้องเสียเหงื่อ เนื่องจากจะช่วยในการลดภาวะเลือดเป็นกรด

น้ำแร่ซัลเฟต 
(Sulfate water)

มีปริมาณ ซัลเฟต > 200 มิลลิกรัมต่อลิตร ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ โดยเฉพาะในคนที่ท้องผู้กเรื้อรัง เนื่องจาก น้ำแร่ซัลเฟต มีผลแรงดันออสโมติคและ ช่วยกระตุ้นการหลั่งของฮอร์โมนซีซีเค (CCK) เนื่องจากซัลเฟตมีผลต่อระบบต่อมไร้ท่อ

น้ำแร่ซัลเฟต-ไบคาร์บอเนต
(Sulfate-bicarbonate waters)

ใช้รักษาภาวะที่การทำงานของถุงน้ำดีผิดปกติ, นิ่วในถุงน้ำดี, อาการหลังผ่าตัดถุงน้ำดี

น้ำแร่ซัลเฟอร์, เกลือ-ไอโอดีน, เกลือ-โบรมีน-ไอโอดีน 
(Sulfurous, salt-iodine, salt-bromine-iodine waters)

มักใช้กับอวัยวะภายนอกร่างกาย เช่น การอาบ หรืออาจใช้ สูดพ่นทางทางเดินหายใจบ้าง บรรเทาอาการอักเสบของระบบสืบพันธุ์เพศหญิง และบรรเทาอาการทางผิวหนังบางชนิด

น้ำแร่ซัลเฟอร์และไบคาร์บอเนต 
(Sulfurous and bicarbonate waters)

ใช้ในการรักษาโรคเบาหวาน โดยจะลดระดับน้ำตาล อาการกระหายน้ำ ปัสสาวะบ่อย และช่วยลดความต้องการอินซูลิน นอกจากนี้น้ำแร่ไบคาร์บอเนต ยังช่วยลดภาวะเลือดเป็นกรดในผู้ป่วยเบาหวานได้

น้ำแร่คลอรีน (น้ำเกลือ) 
(Chlorinated water (salt water))

มีปริมาณคลอไรด์ > 200 มิลลิกรัมต่อลิตร ช่วยในการกระตุ้นการทำงานของลำไส้และการหลั่งสารที่เกี่ยวข้องกับน้ำและอิเล็กโตรไลท์, กระตุ้นการหลั่งน้ำดี, บรรเทาอาการท้องผูก

น้ำแร่แคลเซียม 
(calcium water)

มีปริมาณแคลเซียม > 150 มิลลิกรัมต่อลิตร น้ำแร่ที่มีแคลเซียมในปริมณมากเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่มีความต้องการแคลเซียมในปริมาณมากกว่าคนปกติ เช่น เด็ก หญิงตั้งครรภ์ สตรีสัยหมดประจำเดือน ผู้สูงอายุ และจากการวิจัยไม่นานมานี้ พบว่า แคลเซียมอาจช่วยป้องกันภาวะความดันโลหิตสูงได้อีกด้วย

น้ำแร่แมกนีเซียม
(Magnesium water)

มีปริมาณแมกนีเซียม > 50 มิลลิกรัมต่อลิตร การมีแมกนีเซียมในน้ำแร่สูงจะช่วยกระตุ้นการหลั่งน้ำดี เนื่องจากมีผลในการทำให้ Oddi sphincter คลายตัว

น้ำแร่ฟลูออเรด(Fluorate water)

มีปริมาณฟลูออไรด์ > 1 มิลลิกรัมต่อลิตร

น้ำแร่เหล็ก(Ferrous water)

มีปริมาณเหล็กเฟอรัส > 1 มิลลิกรัมต่อลิตร ช่วยบรรเทาอาการในภาวะโลหิตจากที่เกิดจากการขาดธาตุเหล็ก และใช้ในภาวะไฮโปธัยรอยด์

น้ำแร่โซเดียม(Sodium water)

ปริมาณ โซเดียม > 200 มิลลิกรัมต่อลิตร

น้ำแร่เกลือต่ำ(Low-salt water)

ปริมาณ โซเดียม < 20 มิลลิกรัมต่อลิตร

น้ำแร่คาร์บอร์นิค 
(Carbonic waters)

มักใช้ในการอาบ และบรรเทาอาการของหลอดเลือดส่วนปลาย

 

วิธีดื่มน้ำแร่ ควรทำอย่างไร?

วิธีดื่มน้ำแร่แบ่งได้ 2 วิธี คือ

  • การดื่มน้ำแร่ปริมาณมากในระยะเวลาสั้นๆ (Water loading)คือ การดื่มน้ำปริมาณ 1 ลิตร ภายใน 30 นาที ขณะท้องว่าง ซึ่งการดื่มน้ำแร่วิธีนี้จะใช้กับน้ำแร่ชนิดที่หวังผล เช่น เพื่อขับนิ่วออกจากร่างกาย วิธีนี้ไม่ควรดื่มก่อนนอน เนื่องจากจะทำให้ต้องลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำในช่วงกลางคืน

  • การดื่มแบบทยอยในปริมาณไม่สูง (Subdivided doses)คือ การดื่มน้ำแร่ปริมาณ 500 มิลลิลิตร และ ตามด้วยน้ำแร่ 10 มิลลิลิตรต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม โดยจิบน้ำครั้งละน้อยขณะอ่อนเพลีย หรือขณะเดิน หรือพร้อมมื้ออาหาร

สำหรับนักกีฬา ควรดื่มน้ำแร่ที่มีปริมาณเกลือแร่น้อยถึงปานกลาง ตลอด 2 ชั่วโมงก่อนการแข่งขัน โดยดื่ม 100-150 มิลลิลิตร ทุก 15-20 นาที และดื่ม 400-500 มิลลิลิตร 15 นาทีสุดท้ายของชั่วโมงที่ 2 หลังการอบอุ่นร่างกาย ระหว่างการแข่งขัน ควรดื่ม 200-250 มิลลิลิตร ทุก 15-20 นาที โดยปริมาณของเหลวที่ดื่มเข้าร่างกายหลังแข่งขันหรือเล่นกีฬานั้น ควรมีปริมาณร้อยละ 150 ของน้ำหนักตัว ซึ่งปริมาณของเหลวที่บริโภคโดยทั่วไป คือ 50 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน

ใครไม่ควรดื่มน้ำแร่?

ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้ประโยชน์จากน้ำแร่ หากดื่มไปโดยไม่ระวังอาจเป็นผลเสียต่อร่างกายได้ แล้วใครกัน...ที่ไม่ควรดื่มน้ำแร่?

 

ผู้ที่ไม่ควรดื่มน้ำแร่

น้ำแร่

ผู้ที่บวมน้ำ ผู้ป่วยโรคไต ผู้ที่มีการทำงานของหัวใจไม่ดี

น้ำแร่ที่มีปริมาณโซเดียมสูง

ผู้ป่วยความดันโลหิตสูง

น้ำแร่เกลือโซเดียมคลอไรด์

(Sodium chloride waters)

ผู้ที่มีการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารปริมาณมาก แผลในกระเพาะอาหารและความดันโลหิตสูง

น้ำแร่ซัลเฟอร์ (Sulfurous waters)

ผู้ป่วยที่มีโรคทางระบบทางเดินหายใจที่มีภาวะหลอดลมหดเกร็ง

น้ำแร่ไบคาร์บอเนต (Bicarbonate waters)

ผู้ป่วยที่มีภาวะ gastric hypochilia

น้ำแร่ซัลเฟต (Sulfate waters)

ผู้ป่วยที่มีโรคที่เกี่ยวกับทางเดินอาหารและมีแผลในทางเดินอาหาร

Reference

Petraccia L, Liberati G, Masciullo SG, Grassi M, Fraioli A. Water, mineral water and health. Elsevier. 2006; 25:377-85.

หมายเหตุ  บทความสั้นเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับอาหารและโภชนาการ จากภาควิชาอาหารเคมี ลำดับที่ 5

(โดย ภญ.ดารวี  ศิริพรหม)

http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledge/article/20

 

 

บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน

 

มารู้จักน้ำแร่กันเถอะ !!

 

บทความโดย 

คณาจารย์คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

 

บทความ สาระน่ารู้ น้ำดื่มกับสุขภาพ

เขียนโดย Wonder Man

ทำไมเราควรดื่มน้ำ

 

PAYMENT:

© SPRING MINERAL WATER CO.,LTD.

bottom of page